อุทัยฯ...ไง จะที่ไหนล่ะ

#แชร์ที่พัก #แชร์ที่กิน #แชร์ที่เที่ยว อุทัยธานี เมืองที่หลายคนคงยังไม่รู้จัก หรืออาจจะเรียกว่าเป็นเหมือนที่ถูกลืมเลยก็ว่าได้ ที่นี่บางคนก็บอกว่าอยู่อีสาน บางคนก็บอกว่ามีด้วยหรอจังหวัดนี้ “มีนะครับ อุทัยธานี” เดี๋ยวเราจะพาไปดูกันว่าที่นี่มีอะไรให้เราได้มาเรียนรู้ มาเที่ยวกัน บอกก่อนเลยว่าทริปนี้เป็นทริป 2 วัน 1 คืน

ซึ่งเอาจริงๆ เราก็เคยอยู่ที่อุทัยฯ มาก่อน แต่สำหรับครั้งนี้กลับมาในฐานะนักท่องเที่ยว และมาดูซิว่าอุทัยฯ เปลี่ยนไปขนาดไหน เริ่มจากการเดินทางเราได้จากกรุงเทพฯ ไปอุทัยธานี เดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง โดยทริปนี้ส่วนใหญ่จะอยู่แค่ตัวเมืองอุทัยฯ

#ที่แรก ที่เราจะไปคือ “หุบป่าตาด” เป็นสถานที่อีกแห่งที่ใครไปแล้วไม่ควรพลาดแวะไปเที่ยว ที่นี่จะอยู่ในเขตอำเภอลานสักโดยเราต้องเดินทางเข้าไปอีกจากตัวเมือง 80 กิโลเมตร สำหรับไฮไลท์ที่นี่คือ เป็นสถานที่ที่มีบรรยากาศคล้ายกับหลุดไปในโลกดึกดำบรรพ์เลย โดยการเดินเข้าไปเที่ยวต้องเดินลอดถ้ำมืดๆ เข้าไปแล้วเราก็จะไปเจอป่าต้นตาดขึ้นเต็มไปหมด ด้านไหนก็จะมีทางเดินศึกษาธรรมชาติ และยังมีสัตว์หายากหลายอย่าง เช่น เลียงผา เต่าเหลือง กิ้งกือมังกรสีชมพู ใครที่ชอบแนวผจญภัยนิดๆ ชอบต้นไม้สีเขียวๆ ไม่ควรพลาดเลย #ดูรายละเอียดเพิ่มเติม เอาล่ะมาต่อกัน #ที่ที่สอง เป็นอีกไฮไลท์ของจังหวัดอุทัยเลยก็ว่าได้ “วัดท่าซุง”(วัดจันทาราม)ที่นี่นักท่องเที่ยวหลายคนจะมาเยี่ยมชม “วิหารแก้ว 100 เมตร”

ภายในวิหาร ประดับด้วยกระจกแวววับตระการตาเป็นวิหารที่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำสร้างไว้ก่อนมรณภาพ เป็นที่ประดิษฐาน“พระพุทธชินราช”(จำลอง) และสรีระของหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่ไม่เน่าเปื่อยไว้ในโลงแก้ว นอกจากวิหารแก้ว 100 เมตร วัดท่าซุงยังมีวิหารทองคำด้วย ภายในมีความอลังการและความสวยงามมากๆ จากนั้นไปเราก็เดินทางเข้าที่พักเพื่อไปเช็คอินและเก็บของ โดยพักที่ “บ้านสวนจันทิตา”

เป็นโฮมสเตย์ที่ออกแบบเป็นบ้านไม้สไตล์โมเดิร์น สร้างขึ้นท่ามกลางสวนที่มีต้นไม้นานาชนิด ให้บรรยากาศที่เป็นธรรมชาติมากๆ โฮมสเตย์ที่นี่มีแค่ 4 หลัง และเจ้าของบ้านเป็นคนดูแลเอง เป็นส่วนตัวมากๆ เหมาะสำหรับคนที่อยากจะมาพักผ่อนจริงๆ แน่นอนครับว่าโฮมสเตย์สวยขนาดนี้ ต้องจองยากแน่ๆ 555 เราก็พึ่งจองได้เช่นกัน สำหรับราคาห้องพัก 3,000 บาท พร้อมอาหารเช้า ส่วนตัวเราว่าคุ้มนะ เพราะชอบการดีไซน์ได้อย่างลงตัว พอเช็คอินเสร็จสรรพก็ไปต่อกันเลยยยยย

#ที่ที่สาม เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์เช่นกัน คือ “วัดสังกัสรัตนคีรี” หรือ วัดเขาสะแกกรัง

โดยวัดจะตั้งอยู่บนเขา เป็นสถานที่สำคัญที่เวลาวันออกพรรษา ที่นี่จะมีการจัดงานประเพณีตักบาตรเทโว โดยจะตั้งแถวจากบันไดด้านล่างเรียงแถวขึ้นตามบันไดไปจนถึงยอดเขา เป็นภาพบรรยากาศที่สวยงามมากๆ ถ้าใครได้มีโอกาสได้มา งานจัดทุกปีช่วงวันออกพรรษา นอกจากที่นี่จะเป็นสถานที่จัดงานประเพณีตักบาตรเทโวแล้ว

ข้างบนวัดยังเป็นอีกจุดที่เป็นจุดให้เราชมวิวเมืองอุทัยฯ และพระอาทิตย์ตกอีกด้วย เราสามารถขึ้นได้ 2 ทางโดยจะเดินขึ้นทางบันไดประมาณ 449 ขั้น หรือจะขับรถยนต์ขึ้นก็ได้ โดยจะมีทางขึ้นตรงบริเวณสนามกีฬาประจำจังหวัด เสร็จจากไหว้พระ ชมวิว ดูพระอาทิตย์ตกแล้วเราไปต่อกัน

#ที่ที่สี่ เที่ยวทั้งวันจนเหนื่อย เราก็ต้องมาหาของกิน สำหรับใครที่มาเที่ยวอุทัยฯ เสาร์-อาทิตย์ ก็จะมีถนนคนเดิน “ตรอกโรงยา”

ให้เราได้เดินชิม เดินกินกันตลอดทาง โดยที่นี่จะเปิดตั้งแต่เวลา 15:00-20:00 น. ของวันเสาร์ บรรยากาศก็จะเป็นตึกแถวบ้านไม้เก่าๆ ตลอดทางเดินก็จะมีทั้งของคาวของหวาน ของเล่นของใช้ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ของที่ระลึก ที่ถนนคนเดินมีหลายร้านที่บรรยากาศน่านั่งมาก เลยขอแวะไปร้านนึง เป็นร้านกาแฟ “ปุ๋มกาแฟสดโบราณ” แอบเห็นหลายคนมารีวิวเลยต้องขอตามซักหน่อย55 เสร็จจากร้านนี้เดินตรงไปต่อที่ร้านข้าวต้ม “เจ๊ดาปลาลวก” เป็นอีกร้านที่หลายคนมา นั่งปุ๊บก็สั่งปลาเลยครับ ลืมบอกไปมาอุทัยฯ ต้องกินปลาแรด เพราะปลาแรดรสดี 🙂 กินอิ่มแล้วเดินไปฝั่งตรงข้ามร้านเลยครับ ไหนๆ ก็มากินให้หมดนะ55 ต่อกันที่ร้านน้ำเต้าหู้ “ไซ้จันทร์” ราคาถูกแถมอร่อย กินน้ำเต้าหู้ชาเขียวญี่ปุ่นไป ราคาแก้วละ 10 บาท เรียกว่าคุ้มมากๆ

เป็นอีกร้านที่ไม่ควรพลาดครับ หลังจากกินจนอิ่มเดินไม่ไหวแล้ว ก็กลับที่พักนอนพักผ่อน เช้าแล้วววว ไปไหนต่อดี สำหรับใครที่ชอบตื่นเช้ามากๆ ชอบบรรยากาศตอนเช้า แนะนำเลยครับให้ไปใส่บาตรที่ตลาดริมแม่น้ำสะแกกรัง ชมบรรยากาศวิถีชีวิตชาวบ้านตอนเช้า(แต่เราไม่ได้ไปนะตื่นสาย55 ไว้คราวหลังไม่พลาดเก็บบรรยากาศมาให้ดู) กลับมาที่โฮมสเตย์ที่เรากำลังนอนอยู่ ตื่นเช้ามาก็มานั่งชิล ดูต้นไม้ใบหญ้า ฟังเสียงนกร้อง ดูกระรอกปีนต้นไม้ แล้วไปนั่งกินข้าวเช้า กาแฟ ขนม และผลไม้ กินให้อิ่มเต็มพุง แล้วไปเก็บของเช็คเอ้าท์ เตรียมเดินทางไปต่อ555 สำหรับวันนี้ขอเน้นตระเวณกินตามร้านกาแฟซะหน่อย ก่อนมาแอบอ่านรีวิวมาเห็นหลายร้านบรรยากาศน่านั่งมาก ไปเริ่มกันเลยที่

#ร้านแรก “กอบกาแฟ” เป็นร้านตึกแถวเก่าๆ ที่มีการออกแบบและตกแต่งร้านให้มีบรรยากาศน่านั่งมากๆ มีลายกราฟิกตี้น่ารักๆ ให้คนที่ผ่านไปผ่านมาสะดุดตา ไปต่อกันที่ #ร้านที่สอง “I AM CAFE” เป็นร้านที่สร้างและตกแต่งจากตู้คอนเทนเนอร์ ตั้งอยู่ริมข้างทาง สีฟ้าเด่นมาแต่ไกล ที่นั่งก็มีแบบทั้งห้องแอร์ในตู้คอนเทนเนอร์ หรือจะมานั่งรับลมข้างนอกก็ได้ ไปต่อกันอีกร้าน

#ร้านที่สาม “บ้านจงรัก”

ร้านกาแฟเล็กๆ น่ารัก ภายในร้านมีของเล่น ของใช้ เป็นของสะสมโบราณตั้งเรียงรายอยู่เต็มร้าน มีแต่ของหายากที่บ้างชิ้นเราไม่ได้เห็นแล้ว ขับวนกินกาแฟ น้ำปั่นกันจนน้ำเต็มท้องแล้ว ถึงเวลาหาข้าวกินกันบ้างแล้ว โดยออกเดินทางไปกินปลาแรดกันที่ร้าน “ป้าสำราญ” เป็นอีกร้านที่ขึ้นชื่อว่าอาหารอร่อย สำหรับที่ร้านก็จะมีที่นั่ง 2 โซน คือ กระท่อมริมน้ำและห้องอาหารด้านในร้าน มาที่นี่ก็ต้องสั่งเมนูปลาแรดเลย ปลาขึ้นชื่อของจังหวัด พอกินเสร็จอิ่มจนเดินแทบไม่ไหวก็ออกเดินทางไปอีกที่

และเราก็มาถึงอีกที่ “วัดโบสถ์”(วัดอุโปสถาราม) วัดเก่าแก่ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสะแกกรังรูปแบบงานสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ “มณฑปแปดเหลี่ยม”

ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ในรูปทรงแบบตะวันตก เสร็จจากไหว้พระ เดินชมภาพเขียนที่โบสถ์แล้ว ก็เดินทางออกเพื่อจะกลับกรุงเทพฯ โดยได้แวะร้านซื้อขนมขึ้นชื่อของอุทัยฯ คือ “ขนมปังไส้สังขยา” กลับเอาไปกินด้วย แล้วก็ขับรถออกมาจากตัวเมืองอุทัยฯ จอดรถแวะถ่ายป้าย “เมืองพระชนกจักรี” ที่อยู่บนเข้าสะแกกรัง ก่อนกลับเป็นที่ระลึก

และก็จบทริปไปด้วยดี ทั้งอิ่ม ทั้งเหนื่อย แต่ก็สนุกดี ใครอยากมาสัมผัสบรรยากาศเมืองที่เรียบๆ ช้าๆ ดูเป็นส่วนตัวเหมาะแก่การพักผ่อนเป็นอย่างยิ่ง ลองหาโอกาสเข้ามาแวะมาเยี่ยมชมกันได้นะครับ ไปมาแล้วเอารูปมาอวดกันบ้างน๊าาา