ช่วงนี้ใคร ๆ ก็แบกเป้ไปเที่ยว “มาเลเซีย” กันทั้งนั้น … ค่าใช้จ่ายไม่แพง เดินทางง่ายใกล้เมืองไทย เดินทางได้หลายวิธีจะนั่งเครื่องหรือนั่งรถไฟชิล ๆ ก็ได้ แถมที่เที่ยวก็ยังมีหลายสไตล์ อยากเที่ยวแบบซิตี้ทัวร์ก็ได้ จะแบ็คแพ็คไปเที่ยวเกาะ เที่ยวธรรมชาติก็ได้
หรือใครที่เป็นสายอาร์ต สายสตรีท ชอบการท่องเที่ยวแบบได้ดูวิถีชีวิต เสพวัฒนธรรม ตอนนี้เมืองปีนัง ย่านจอร์จทาวน์ และเมืองอิโปห์ ก็กำลังเป็นที่นิยมของนักเดินทางมาก ๆ เลยทีเดียว
แอดมินเองก็เพิ่งมีโอกาสได้ไปปีนัง และอิโปห์มาเหมือนกัน ประทับใจหลายอย่างมาก ๆ ทั้งผู้คน ทั้งตึกสวย ๆ ไหนจะของกินอร่อย ๆ อีก มีซ้ำแน่นอน …
จะบอกว่าทริปมาเลเซียเป็นอะไรที่เหมาะกับคนที่ชอบเที่ยวแบบง่าย ๆ สบาย ๆ ไม่ต้องพกอะไรไปมากมาย ใช้เวลาเที่ยวไม่มากแค่ 3 วันก็เที่ยวได้แล้ว มีกล้องสักตัว เก็บเสื้อผ้าง่าย ๆ จับเสื้อยืดตราห่านคู่ผ้านิ่ม ๆ ใส่สบาย ๆ ไม่ต้องกลัวร้อน กับกางเกงยีนส์ตัวเก่งโยนใส่กระเป๋า หยิบพาสปอร์ต สะพายกระเป๋า แล้วเราก็ออกเดินทางกันได้แล้ว
สำหรับทริปนี้แอดมินใช้เวลา 3 วัน 2 คืน ในการตระเวนเที่ยว 2 เมืองเก่า “ปีนัง – อิโปห์”
Day 1 : แอดมินเดินทางโดยนั่งเครื่องไปลงที่สนามบินปีนังเลยครับ เลือกไฟล์ทเช้า สะดวกและง่ายกว่าการเดินทางโดยรถไฟ ใช้เวลาเดินทางน้อยกว่า … กิจกรรมแรกสำหรับทริปนี้ก็คือ การไปดูวิวเมืองปีนังแบบพาโนรามาที่ “ปีนัง ฮิลล์” (PENANG HILL) นั่นเอง
#รีวิว : https://www.facebook.com/paikondieow/posts/617813645218407
ที่นี่เป็นแลนมาร์คสำคัญของปีนังเลยทีเดียว อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 823 เมตร อากาศด้านบนบอกเลยว่าเย็นสบาย เหมือนไม่ได้อยู่มาเล เพราะอากาศที่พื้นราบจะค่อนข้างร้อนอบอ้าวมาก (ใครอย่าได้เผลอหยิบเสื้อหนา ๆ มาใส่เลยนะเป็นลมแน่ แนะนำเป็นเสื้อยืดผ้าใส่สบาย ๆ แบบเสื้อตราห่านคู่อะไรประมาณนี้จะเหมาะที่สุดครับ)
#รีวิว : https://www.facebook.com/paikondieow/posts/617813645218407
ที่นี่มีกิจกรรมให้ทำมากมายตั้งแต่นั่งรถรางไฟฟ้าขึ้นไปชมวิว ถ่ายรูปสวย ๆ มีเส้นทางเดินชมธรรมชาติที่เราจะได้พบกับความเขียวสดชื่นของต้นไม้ และสัตว์ต่าง ๆ ขาลงถ้าไม่อยากนั่งรถรางลงมา จะค่อย ๆ เดินเล่นลงมาทางสวนพฤษศาสตร์ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบครับ
#รีวิว : https://www.facebook.com/paikondieow/posts/617813645218407
เดินทางกันมาทั้งวันแล้วเย็นนี้เลยขอฝากท้องไว้ที่ “ร้าน KEBAYA” ที่ย่านจอร์จทาวน์ บรรยากาศดี สะอาด และอาหารรสชาติใช้ได้เลย โดยอาหารที่นี่จะเป็นแบบฟิวชั่น และ Peranakan Chinese รสชาติอาจจะไม่คุ้นปากคนไทยอย่างเรา แต่ว่าก็ถือเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ในการกินอาหารแบบโลคอลครับ
เมนูเด็ดที่ทางร้านแนะนำก็คือ Pandan Crème Brûlée, prawn geng, Wing Bean Kerabu
บรรยากาศภายในร้าน
กินมื้อเย็นเสร็จแล้วก็มาต่อกันที่ “สวนอวตาร” หรือ Avatar Secret Garden เป็นสถานที่ที่เราอยากแนะนำให้เพื่อน ๆ ไปมากๆเพราะไม่ว่าใครต่างก็บอกว่ามันคือ สวรรค์บนดิน ที่สวนลับแห่งนี้ได้จำลองโลกดาวแพนโดร่าจากภาพยนตร์เรื่อง Avatar เอาไว้
แอดมินแนะนำให้ไปตั้งแต่ช่วงเย็น ๆ และเดินเล่นถึงตอนกลางคืน เพราะมันจะเหมือนกับเราได้เดินเล่นอยู่ท่ามกลางต้นไม้ ดอกไม้ สะท้อนแสงหลากสีตอนกลางคืนเหมือนในหนังเลยล่ะครับ ที่นี่เปิดให้เข้าชมฟรี ทุกวัน ตั้งแต่ 8.00 – 0.00 น. การเดินทางสามารถเรียกแท็กซี่แถวตึก Komtar ในเมืองจอร์จทาวน์ได้เลย ใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ 8 นาทีเท่านั้น ค่าโดยสารจะอยู่ที่ประมาณ 25 – 30 MYR
หมดไปแล้วสำหรับวันแรกที่ปีนัง คืนนี้เราเข้าพักกันที่ LEXIS SUITES HOTEL, PENANG โรงแรมนี้ 5 ดาวเลยนะครับ เป็นโรงแรมที่วิวดีติดริมทะเล หลังห้องมีสระน้ำให้แช่ มองเห็นวิวด้านนอก บอกเลยราคาไม่แรง เราพักให้หายเหนื่อย ชาร์ตพลังให้เต็มที่ พรุ่งนี้เราจะไปตามล่าหา Wall Art ในเมืองปีนังกัน!!
ดรายละเอียดที่พัก : https://www.facebook.com/LexisSuitesPenangTH/
วิวมองจากบนโรงแรม โคตรดี แอบมีหมอกเล็กๆ
ห้องกว้าง เตียงนุ่ม ถ้ามากับครอบครัวเหมาะมากๆ
วิวตอนเช้าจากด้านบนโรงแรม
โรงแรมที่พักยังมีโซนต่างๆ ไว้อำนวยความสะดวกให้แก้คนเข้าพัก มีทั้งสระว่ายน้ำ ฟิตเนส ห้องคาราโอเกะ สนามเด็กเล่น เป็นต้น
Day 2 : กินอาหารเช้าเพิ่มพลังเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกจากโรงแรมไปที่ย่านเก่าแก่ของปีนังกัน เราจะไปตามถ่ายรูป Wall Art ชื่อดังระดับโลกกัน แถบนี้จะเรียกว่า PENANG STREET ART ตึกและบ้านย่านนี้จะเป็นสไตล์ชิโนโปรตุกีสที่มีความเก่าแก่และสวยงามาก ๆ เราสามารถเดินเล่นถ่ายรูป หรือจะปั่นจักรยานไปตามตรอกซอกซอยต่าง ๆ ก็ได้
และตามซอกเล็กซอกน้อยในย่านนี้เราก็จะได้พบกับภาพวาดบนกำแพงของศิลปินชื่อดัง ‘เออร์เนสต์ ซาราเรวิก’ ศิลปินชาวลิทัวเนีย ภาพวาดแทบทั้งหมดจะสะท้อนวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ และวัฒนธรรมต่าง ๆ ของชาวปีนัง อย่างภาพที่เป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลก เช่น “Little Children on a Bicycle” , “Boy on a Bike” , “Skippy for Penang” , “The Indian Boatman” ฯลฯ
แอดมินมีทิปเล็ก ๆ มาแชร์ เวลาถ่ายรูปกับ Wall Art ถ้าอยากให้ภาพออกมาสวยแนะนำว่าให้ทำตัวให้กลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งของภาพ พยายามเลือกโทนสีเสื้อผ้าเรียบ ๆ อย่าง สีขาว สีกรม สีเขียวขี้ม้า หรือสีเทา จะได้ไม่แย่งซีนกับภาพสวย ๆ เสื้อยืดใส่ง่าย ๆ แบบเสื้อตราห่านคู่นี่แหละจะบอกว่าเหมาะมากคือเนื้อผ้าใส่สบายแล้ว ถ่ายภาพออกมาจะฮิปๆหน่อย เหมือนเสื้อเขียวขี้ม้าหรือขาวที่แอด ใส่ถ่ายรูปมาในทริปนี้
เรียกว่าย่านนี้เป็นไฮท์ไลน์ที่เป็นสีสันของย่านปีนังเลยก็ว่าได้ครับ ถ้าใครมีเวลาเหลืออาจจะลองแวะไปเดินเล่นแถว ๆ หมู่บ้านชาวประมง CHEW JETTY ดูก็ได้นะ บรรยากาศดีเหมือนกัน
ร้านลอดช่อง ที่มาปีนังแล้วต้องลอง (คนต่อคิวเยอะมากก)
หลังจากเดินถ่ายรูปเล่นมาตลอดช่วงเช้า ก็แวะหาอะไรอร่อย ๆ ใส่ท้อง หลังจากนั้นก็เดินทางออกจากปีนังไปสู่เมืองอิโปห์กัน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงครับ นั่งรถบัสกันยาว ๆ แต่วิวข้างทางสวยเลยทีเดียว เมื่อถึงอิโปห์ที่แรกที่เราจะไปเที่ยวกันก็คือ ปราสาทเคลลี่ (KELLIE’S CASTEL)บรรยากาศมีเสน่ห์มาก ๆ สาว ๆ น่าจะชอบเลยแหละ ในอดีตที่นี่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นบ้านพักในต่างแดนของวิลเลี่ยม เคลลี่ สมิธ เจ้าของไร่ชาวสก็อตแลนด์ เราจึงไม่ต้องแปลกใจเลยครับว่าทำไมที่นี่ถึงมีกลิ่นอายของบ้านแบบสก็อตแลนด์ แต่น่าเสียดายนะครับที่บ้านหลังนี้สร้างไม่เสร็จเพราะเจ้าของดันเสียชีวิตอย่างกะทันหันในปี ค.ศ.1926 กลายเป็นว่าที่นี่เป็นปราสาทที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดียว ถ้ามาช่วงบ่ายคล้อยจะแอบรู้สึกถึงความลึกลับนิด ๆ หลายคนเชื่อว่าที่นี่มีห้องลับและอุโมงค์ใต้ดินอยู่ในปราสาทด้วย
ออกจากปราสาทเคลลี่ เราก็มาเสพงานสตรีทอาร์ทกันที่ย่าน ART OF OLD TOWN ของเมืองอิโปห์ ที่นี่ก็จะคล้ายกับที่ปีนังครับ คือภาพวาดจะสื่อถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวมาเลในอดีต จะมีภาพที่โด่งดังไปทั่วโลกคือภาพ OLD UNCLE EITH COFFEE CUP ภาพนี้วาดอยู่บนผนังของร้านold town white coffeeเลย ถ่ายรูปเสร็จก็แวะเติมพลังกันก่อนได้เลย
หมดวันที่อิโปห์ คืนนี้เราพักกันที่ KINTA RIVERFRONT HOTEL, IPOH ครับหมดวันที่อิโปห์ คืนนี้เราพักกันที่ KINTA RIVERFRONT HOTEL, IPOH ครับ
Day 3 : วันนี้ต้องกลับแล้วแต่ว่าเรากลับไฟล์ทเย็น วันนี้ก็ยังมีเวลาเที่ยวอีกเกือบทั้งวัน … กินอาหารเสร็จแล้วเราไปเที่ยว มัสยิดอูบูดียะห์ (MASJID UBUDIAH) ที่ตั้งอยู่ที่เมืองกัวลาคังซาร์ ที่นี่ขึ้นชื่อว่าเป็นมัสยิดที่สวยที่สุดอีกที่ของมาเลเซีย สวยงามด้วยสถาปัตแบบอิสลาม มียอดโดมสีทองเป็นเอกลักษณ์ สร้างขึ้นในสมัยสตุลต่าน มูร์ชีดุล อัดซัม ชาห์ ที่ 1 มาเที่ยวชมที่นี่ต้องแต่งตัวสุภาพหน่อยนะครับ งดเสื้อแขนกุด กางเกงหรือกระโปรงสั้น ต้องให้เกียรติสถานที่สำคัญทางศาสนาด้วย
หลังจากนั้นเราก็เดินทางมาดูแลนมาร์คของเมืองอิโปห์อย่าง หอนาฬิกา BIRCH MEMORIAL CLOCK TOWER ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามมัสยิดประจำเมืองอิโปห์ สร้างขึ้นในปี 1909 เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้แก่ J.W.W BIRCH ชาวอังกฤษคนแรกของรัฐเปรัค หอนาฬิกามีทั้งหมด 4 ด้าน ประดับด้วยภาพวาด และรูปปั้นต่าง ๆ ส่วนด้านบนสุดของหอนาฬิกาจะมีระฆังขนาดใหญ่แขวนอยู่ด้วย
จากนั้นเราไปกันต่อที่ สถานีรถไฟ อิโปห์ เป็นสถานีรถไฟที่มีตึกสไตล์ Colonial โดดเด่นตั้งสง่าอยู่ ตึกIpoh Town Hall ซึ่งในอดีตที่นี่ก็เคยเป็น สถานีตำรวจ ประจำเมืองด้วย เป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ที่จัดได้ว่าเป็น แลนด์มาร์คประจำเมืองอิโปห์เลยทีเดียว สามารถเดินทางไปได้ง่าย เป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมมาก ถ่ายรูปสวย โดยเฉพาะช่วงเวลาตอนเย็นพระอาทิตย์ตก ที่คนมาเดินเล่น พักผ่อนจำนวนมาก
มาต่อกันที่หอเอนเมืองอิโปห์ LEANING TOWER OF TELUK INTAN หรือ Menara Condong ตั้งอยู่ในเมืองเล็ก ๆ ในรัฐเปรัค สร้างในปี 1885 โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Leaning Tower of Pisa หรือหอเอนเมืองปิซ่านั่นเอง ตัวอาคารสร้างโดยอิฐและไม้ สูง 25.5 เมตร มีทั้งหมด 8 ชั้น ซึ่งด้านในสามารถเข้าไปชมได้ด้วยนะครับ ในวันธรรมดาจะเปิดเวลา 8.00 – 17.00 และวันหยุดเปิด 09.00 – 18.00 ครับ
และที่สุดท้ายสำหรับทริปปีนัง – อิโปห์ ด้วยการไหว้พระเอาฤกษ์เอาชัย กันที่ Perak Cave Temple หรือ “Perak Tong Temple” (วัดถ้ำเปรัค) เป็นวัดที่อยู่ในถ้ำ
พอเข้าไปห้องแรกจะพบกับโถงถ้ำขนาดใหญ่ ที่ใจกลางเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปองค์ใหญ่ หลังจากไหว้พระขอพรกันเรียบร้อยแล้ว ยังมีห้องต่างๆ อีก 2-3 ห้อง เราสามารถเดินเข้าไปชมภายในถ้ำได้ ส่วนด้านหลังจะมีบันไดทอดยาวนขึ้นไปถึงปากปล่องถ้ำด้านบน เราสามรถเดินขึ้นไปชม จุดชมวิวสวยๆ ได้อีกด้วย
ปิดท้ายกันด้วยการเดินหาอะไรอร่อย ๆ กินในตัวเมืองอิโปห์ ก่อนเดินทางกลับไปที่ปีนังเพื่อขึ้นเครื่องกลับเมืองไทย … ใครที่เป็นสายสะพานเป้เที่ยว จะไปคนเดียว หรือจะไปเป็นคู่ ก็เหมาะมาก ๆ สำหรับทริปนี้ ค่าใช้จ่ายก็ไม่สูง เดินทางง่าย แถมยังได้ภาพสวย ๆ และประสบการณ์ดี ๆ กลับบ้านไปเที่ยว และสิ่งสำคัญสำหรับการเตรียมตัวเดินทางไปมาเลเซียก็คือเสื้อผ้า เพราะมาเลเซียเองสภาพอากาศไม่ค่อยแตกต่างจากเมืองไทยมากนัก (ร้อนพอๆ กันเลย) ดังนั้นเสื้อผ้าที่เตียมไปควรเป็นเสื้อผ้าที่ใส่สบาย อย่างเสื้อยืดตราห่านคู่ ที่ถักทอจากผ้า Combed Cotton 100% เสื้อใส่เบาสบาย มีให้เลือกถึง 3 รุ่น 3 คอลเลคชั่น รุ่นคลาสสิค ที่อยู่มาคู่กับความเป็นตำนานของห่านคู่มากว่า60 ปี ต้องรุ่นนี้เลย หรือจะรุ่นโมเดิร์น สีขาว ที่พัฒนามาจากรุ่นคลาสสิคให้ไร้ตะเข็บข้าง แต่ยังคงความใส่สบาย และความคงทนของเนื้อผ้า และรุ่นคูลคอตตอน ที่นอกจากจะทำมาจาก Combed Cotton 100% แล้วยังมีเทคโนโลยีเฉพาะจากห่านคู่ที่ทำให้ผ้าหนานุ่มลื่น ใส่แล้วเย็นสบายระบายอากาศได้ดี นอกจากมีหลายรุ่น แล้ว เสื้อยืดตราห่านคู่ยังมีหลายแบบทั้ง คอกลม คอวี เสื้อกล้าม และ Henley เป็นเสื้อที่เหมาะกับสภาพอากาศเมืองไทย และมาเลเซียมากๆ หยิบไปใส่ได้ในทุกโอกาสเพราะนอกจากสีขาวที่ได้รับความนิยมมายาวนาน ก็ยังมี สีเทา สีเขียว สีกรม สีแดง และสีอื่นให้เลือกอีกมากมาย (สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ https://goo.gl/Fk9U4K จะใส่เป็นตัวนอกก็ใส่สบาย หรือจะใส่เป็นตัวในกับสูทออกงาน ชิคๆ ก็ยังได้) แล้วจะรอช้าอยู่ทำไมล่ะครับ ใส่เสื้อแล้วออกไปไปเที่ยวกันเถอะ




รีวิวบนแฟนเพจ : 12 จุดเช็คอิน เมืองเก่า “ปีนัง – อิโปห์”
#ห่านคู่ชื่อนี้คือตำนาน #DoubleGoose #Classiccollection #Moderncollection #Koolcottoncollection #Ipoh #Malaysia #เสื้อยืดตราห่านคู่ #เสื้อยืดห่านคู่ #ห่านคู่ #คลาสสิคคอลเลคชั่น #โมเดิร์นคอลเลคชั่น #คูลคอตตอนคอลเลคชั่น #ปีนัง #อิโปห์ #มาเลเซีย #ThaiPaiMalaysia #MalaysiaTrulyAsia #Penang